easyenglish

เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว

ภาษาอังกฤษง่ายกว่าที่คุณคิด ...

เกร็ดความรู้ / Tips


could VS would ต่างกันอย่างไร

would และ could เป็น auxiliary verb ที่บางทีก็ทำให้เกิดความสับสน เพราะนอกจากจะเป็น past tense ของ ‘will’ และ ‘can’ ตามลำดับแล้ว ยังสามารถนำไปใช้ในสถานการณ์อื่นได้อีกนั่นเอง
 
Would

สามารถนำไปใช้เพื่อ:
 
 
1. ถามเกี่ยวกับ พวก information question ( who,what, where, when, why หรือ how) 
เช่น
 
When would we have time to do that?
“เมื่อไรเราจึงจะมีเวลาทำอย่างนั้น?”
 
“Who would want to wait that long”
“ใครอยากจะไปรอนานขนาดนั้น?”
 
 
2. ทำการขอร้องอย่างสุภาพ
 
เช่น
 
Would you open the door for me?
คุณเปิดประตูให้ฉันหน่อยได้ไหม
 
Would you send me the email?
คุณส่งอีเมลมาให้ฉันหน่อยได้ไหม
 
3. การตั้งสมมุติฐาน (if clause แบบที่ 2)
 
เช่น
 
If I had a lot of money I would like to buy a Ferrarie
ถ้าผมมีเงินมากๆ  ผมอยากจะซื้อรถเฟอร์รารี่ 
 
4. สอบถาม
 
เช่น
 
Would you like soup or salad?
จะรับเป็นซุปหรือสลัดดีครับ?
 
Would you like to go with us tonight?
คืนนี้คุณจะไปกับพวกเราไหม?

Could

สามารถนำไปใช้เพื่อ:
 
 
1. บอกถึงความเป็นไปได้
 
เช่น
 
A:Whose book is this?
B: It could be James' book.
A:นี่หนังสือใครหรอ?  
B:น่าจะเป็นของเจมส์นะ
 
 
2. ทำการขอร้องอย่างสุภาพ
 
เช่น
 
Could you move this box for me, please?
ช่วยเลื่อนกล่องนี้ให้ฉันหน่อยได้ไหม?
 
Could you please pass the salt?
คุณช่วยส่งเกลือให้หน่อยได้ไหม?
 
หวังว่าบทเรียนภาษาอังกฤษบทนี้จะช่วยทำให้เพื่อนๆหลายคน หายสงสัยได้นะครับ 

 

หากเพื่อนๆคนไหนสนใจเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่  Facebook ของทาง สถาบันนะครับ 

https://www.facebook.com/easyandsimpleenglish
 

เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวที่ESEดี

Read More ...

คำศัพท์ ในภาษาอังกฤษ 7

เรามาดูคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่น่าสนใจกัน  

false (ฟอลซฺ)(adj.) แปลว่า เท็จ,ปลอม

Before sharing anything on FB, you better make sure it's not a false story.
ก่อนจะแชร์อะไรในเฟสบุ๊ค คุณควรเช็คให้แน่ใจก่อนว่าไม่ใช่เรื่องเท็จ

 

deny (ดิ' นาย) (v.) แปลว่า ปฏิเสธ

There's no need to deny it.  We all know what really happened.
ไม่ต้องปฏิเสธหรอก ใครๆก็รู้หน่า ว่าเกิดอะไรขึ้น?

 

nosy ('โน ซิ) (adj.) แปลว่า สอดรู้สอดเห็น

Don't be so nosy.
อย่าเป็นคนขี้เผือกนักสิ

 

ตอนนี้เรามี ACCOUNT บน Twitter เพื่อสอนภาษาอังกฤษแล้ว ฝากเพื่อนตามไป Follow กันด้วยนะคร๊าบ สำหรับคนที่เล่น twitter ก็อย่าลืมอัพเดท ข่าวสาร และ คำศัพท์ภาษาอังกฤษนะครับ

หากเพื่อนๆคนไหนสนใจเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่  Facebook ของทาง สถาบันนะครับ 

https://www.facebook.com/easyandsimpleenglish
 

เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว กับ ESE ดี

Read More ...

สำนวนภาษาอังกฤษ 8

เรามาดูสำนวนภาษาอังกฤษกันนะครับ 

make matters worse แปลว่า ทำให้แย่ลงกว่าเดิม

Don't say anything - you'll only make matters worse.
ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว แกจะทำให้มันแย่ลงไปกว่าเดิมเท่านั้นแหละ

 

sick and tired(ซิก แอนดฺ ทายอิด) แปลว่า เบื่อหน่าย

I'm sick and tired of nonsense dramas on social networking. 
ผมนี่เบื่อหน่ายกับข่าวดราม่าไร้สาระบนโลกโซเชียลมาก
 

ตอนนี้เรามี ACCOUNT บน Twitter เพื่อสอนภาษาอังกฤษแล้ว ฝากเพื่อนตามไป Follow กันด้วยนะคร๊าบ สำหรับคนที่เล่น twitter ก็อย่าลืมอัพเดท ข่าวสาร และ คำศัพท์ภาษาอังกฤษนะครับ

หากเพื่อนๆคนไหนสนใจเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่  Facebook ของทาง สถาบันนะครับ 

https://www.facebook.com/easyandsimpleenglish

 
Read More ...

“อ่านหนังสือสอบ” พูดเป็นภาษาอังกฤษอย่างไรดี

“อ่านหนังสือสอบ” พูดเป็นภาษาอังกฤษอย่างไรดีนะ

สวัสดีครับ เกร็ดความรู้ในวันนี้ตั้งใจนำเสนอให้กับน้องๆนักเรียน นักศึกษากันเลยทีเดียว

เชื่อว่านะครับ น้องๆนักเรียนนักศึกษาหลายๆคนคงต้องเคยประสบปัญหาเวลาที่ต้องการจะพูดคำว่า “อ่านหนังสือสอบ” “อ่านหนังสือเตรียมสอบ” หรือแม้แต่การ “ทบทวนบทเรียน” ก็ตาม

หลายๆคนพอพูดถึงคำว่าอ่านหนังสือแล้วละก็ ก็มักจะนึกถึงคำว่า “Read” ขึ้นมาเป็นคำแรกเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อนึกถึงคำว่า read แบบนี้แล้ว ก็จะลงเอยออกมาเป็นประโยคลักษณะ 
“I read a book” หรือ “I’m reading a book for exam” กันทุกที 
ซึ่งหากพูดแบบนี้ใส่ชาวต่างชาติแล้วละก็ อาจจะได้หน้าตาเหยเกเพราะความงุนงงจากชาวต่างชาติกลับคืนมาก็เป็นได้

จริงๆแล้วการอ่านหนังสือเรียน การอ่านหนังสือสอบ หรือแม้แต่การทบทวนบทเรียนเนี่ย ในภาษาอังกฤษ สามารถใช้คำง่ายๆหนึ่งคำเพื่อสื่อความหมายก็เพียงพอแล้วนะครับ 
ลองทายกันดูไหมครับว่าคำนั้นคืออะไร

ติ๊ก ต่อก ติ๊ก ต่อก

คำง่ายๆคำนั้นที่เราสามารถนำมาใช้ได้ในสถานการณ์แบบนี้ก็คือคำว่า “Study” นั่นเองครับ

เพราะคำว่า Study ไม่ได้หมายถึงการเรียนในห้องเรียน หรือในโรงเรียนเพียงอย่างเดียว ทว่าจริงๆแล้วคำนี้ มีความหมายครอบคลุมถึง “การใช้เวลาศึกษาหรือทำให้ได้มาซึ่งความรู้ทางวิชาการแขนงใดแขนงหนึ่ง โดยเฉพาะจากการอ่าน” และการอ่านหนังสือเพื่อสอบ หรือทบทวนบทเรียน ก็คือการทำให้ได้มาซึ่งความรู้ทางวิชาการอย่างหนึ่ง ดังนั้น จึงสามารถใช้คำว่า study ในการพูดถึงการกระทำลักษณะนี้ได้เลยนั่นเองครับ ตัวอย่างเช่น

I’m studying for mid-term – ฉันกำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบกลางภาค

When I have free-time, I usually study math. – เมื่อฉันมีเวลาว่างฉันมักจะทบทวนวิชาคณิตศาสตร์

ก็หวังว่าเกร็ดความรู้ในเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย แล้วพบกันใหม่คราวหน้า สวัสดีครับ

 

Read More ...

เคยทำ ภาษาอังกฤษ พูดอย่างไร

ถ้าไม่ใช่ “ever” แล้วจะบอกว่า “เคย” ยังไงดีนะ?

สวัสดีครับ ช่วงนี้(ช่วงที่กำลังเขียนอยู่นี้) ฝนตกหนักน้ำท่วมในหลายพื้นที่ที่เดียว หลายๆท่านที่เดินทางไปทำงานในที่ไกลๆที่ต้องผ่านพื้นที่สุ่มเสี่ยงก็อาจะเผชิญกับภัยน้ำท่วมกันเข้าแล้วบ้างนะครับ สำหรับทุกท่านเหล่านั้นทางเราก็ขอแสดงความเสียใจด้วยจริงๆ และหวังว่าสถานการณ์น้ำท่วมที่ท่านประสบจะดีขึ้นในเร็ววันนี้นะครับ

ฝนตกน้ำท่วมพาให้อารมณ์ขุ่นมัว แต่การเรียนภาษาอังกฤษกับ ESE ไม่มีคำว่าขุ่นมัวอย่างแน่นอน

ในเรื่องของการใช้ “ever” ในการพูดถึงสิ่งที่ “เคยทำ” ว่าไม่นิยมที่จะเอามาพูดอยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า แต่ทว่ามีคำๆหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ในกรณีนี้ได้ วันนี้ถึงเวลาที่เราจะขอเสนอคำว่า

แทน แท่น แท๊น~

คำว่า “used to” นั่นเองครับ

Used to แปลว่า “เคยทำ” คำนี้อาจหมายถึงอุปนิสัย กิจวัตร หรือสิ่งที่เคยทำในอดีตทว่าปัจจุบันได้จบลงไปแล้ว ไม่ได้กระทำสิ่งนั้นอีกต่อไป หรือกล่าวถึงข้อเท็จจริงบางอย่างที่เป็นจริงในอดีต แต่ว่าไม่เป็นจริงแล้วในปัจจุบันก็ได้ โดยการใช้ used to จะใช้ในรูปโครงสร้างดังนี้

                                                    S + used to + v. infinitive     

เช่น          I used to go to the beach every Sunday.

-          ฉันเคยไปทะเลทุกๆวันอาทิตย์(กล่าวถึงกิจวัตรในอดีตแต่ปัจจุบันไม่ทำแล้ว)

                She used to eat a lot of sweets when she was young.

-          เธอ(คนนั้น)เคยทานขนมหวานเป็นจำนวนมากตอนที่เอเป็นเด็ก(อุปนิสัยในตอนเด็กที่ปัจจุบันเลิกแล้ว)

               Back in my day, Pokémon used to be only on Game Boy.

-          สมัยก่อน(เกม)โปเกมอนเคยมีอยู่แต่บนเครื่องเกมบอยเท่านั้น(สิ่งทีเคยเป็นจริงในอดีต แต่ปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว) 

ดังนั้น หากในอนาคตทุกๆท่านอยากจะกล่าวถึงสิ่งที่เคยทำ เคยเป็นจริงในอดีตแล้วละก็ ก็ไม่ต้องมองหาคำไหนอื่นไกล หยิบคำว่า used to ขึ้นมาใช้ ก็จะสามารถสื่อความหมายที่ต้องการได้อย่างครบถ้วนอย่างง่ายๆเพียงเท่านี้เองครับ

สำหรับวันนี้ก็เช่นเคยที่ต้องลากันไปก่อน หวังว่าเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านไม่มากก็น้อย แล้วพบกันใหม่คราวหน้า สวัสดีครับ 

Read More ...

คำศัพท์ และ สำนวนต่างๆ ในภาษาอังกฤษ 9

เรามาดูคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่น่าสนใจกัน  


relief(ริ'ลีฟ) (n.) แปลว่า โล่งอก

What a relief! You know, I was so worried about you.
เฮ่อ! โล่งอกไปที รู้ไหมว่าเราเป็นห่วงเธอมากเลย

realize (เรีย ไลซฺ) แปลว่า รู้ตัว

Before you realize it, you've already started humming PPAP.
กว่าจะรู้ตัวอีกที  ก็นั่งฮัมเพลง PPAP ไปเรียบร้อยแล้ว

unnecessary (อัน' เนส เซิส เซ รี) (adj.) แปลว่า ไม่จำเป็น

Wan told a humiliating story about his girlfriend to amuse his friends.  It was so unnecessary.
ว่านเล่าเรื่องน่าอับอายของแฟนให้เพื่อนเขาฟังเพื่อความตลก มันเป็นอะไรที่ไม่จำเป็นเลย

ashamed(เออะ เชมดฺ) (adj.) แปลว่า ละอายใจ,อับอาย

Just be yourself! You've got nothing to be ashamed of.
แค่เป็นตัวของตัวเองก็พอแล้ว  ไม่เห็นมีอะไรต้องน่าอายเลย

ดื้อ ภาษาอังกฤษ

stubborn (สตับ'เบิรฺน) (adj.) แปลว่า ดื้อ, หัวรั้น

Why are you so stubborn?
ทำไมตัวเองดื้อจัง

bet (เบ็ทฺ) (v.) แปลว่า พนัน

I bet you're gonna love this game.
พนันได้เลยว่าแกต้องชอบเกมนี้แน่ ๆ

 

เรามาดูสำนวนภาษาอังกฤษกันนะครับ 

 

keep your mouth shut แปลว่า หุปปากไปซะ

If you don't know what the truth is, just keep your mouth shut.
ถ้าแกไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร ก็เงียบๆไปเหอะ

go cold turkey แปลว่า หักดิบ

Are you going cold turkey?
จะหักดิบเลยหรอฃ

ตอนนี้เรามี ACCOUNT บน Twitter เพื่อสอนภาษาอังกฤษแล้ว ฝากเพื่อนตามไป Follow กันด้วยนะคร๊าบ สำหรับคนที่เล่น twitter ก็อย่าลืมอัพเดท ข่าวสาร และ คำศัพท์ภาษาอังกฤษนะครับ

หากเพื่อนๆคนไหนสนใจเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่  Facebook ของทาง สถาบันนะครับ 

https://www.facebook.com/easyandsimpleenglish

Read More ...

เกรงใจภาษาอังกฤษ พูดว่า

เกรงใจ ภาษาอังกฤษ พูดยังไง

ฉันเกรงใจ

I don't want to put you out of your way.
I don't want to impose.
I don't want to intrude.
I don't want to be a burden.
I don't want to trouble you.
I don't want to bother you.
I don't want to inconvenience you.
I feel bad / guilty asking that of you.
I feel obliged to say yes and help him.
ไม่ต้องเกรงใจ
Don't (need to) worry about me.
Don't refuse on my account.
Don't feel bad on my account.
Don't hesitate to ask for it.
เกรงใจคนอื่นบ้าง
Please be considerate of others.
เกรงใจจัง
You shouldn't have.
You didn't have to do that.

Read More ...

lecture ไม่ได้แปลว่า จด

“จด Lecture” “ขอยืม Lecture หน่อย” เอะ ตกลง lecture แปลว่าจดใช่ไหมเนี่ย!?!

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้เกร็ดความรู้ภาษาอังกฤษของเราชาวESEเพื่อบรรดาน้องๆนักเรียนนักศึกษากันอีกครั้งนะครับ

หลายๆคนคงเคยได้ยินประโยคข้างต้น จากเพื่อน จากคนรอบตัวในรั้วมหาวิทยาลัยกันจนชินหูมาเป็นเวลานานนะครับ จนทุกๆท่านเข้าใจไปแล้วว่าคำว่า lecture แปลว่า “จด หรือ บันทึกการสอนในห้องเรียน” นะครับ

แต่อันที่จริงแล้ว คำว่า lecture นี้ แปลว่า “บรรยาย” ต่างหากครับ ถ้าในรั้วหมาลัยก็หมายถึงการบรรยายของอาจารย์ผู้สอนที่บรรยายเนื้อหาของวิชานั้นๆ

ดังนั้นเวลาที่พูดว่า “จด Lecture” จึงหมายความว่า “จดการบรรยาย” ต่างหากครับ

อ้าว แล้วคำว่า “จด” ล่ะ มันจะแปลว่าอะไร พุดเป็นภาษาอังกฤษอย่างไรดี

คำที่จะใช้ได้คำนั้นก็คือคำว่า “take notes” นั่นเองครับ

เช่น

He always takes notes in math class.

เขาจดโน๊ตในวิชาคณิตศาสตร์เสมอๆ(คือจดบันทึกที่อาจารย์สอนเสมอๆ)

They never take notes in Introduction to Philosophy.'

เขาไม่เคยจดโน๊ตวิชาปรัชญาเบื้องต้นเลย

ก็หวังว่าเกร็ดความรู้เรื่องนี้จะเป็นประโยชน์กับน้องๆนักศึกษาและทุกๆท่านนะครับ วันนี้ต้องลาไปก่อนแล้ว สวัสดีครับ 

Read More ...

Learn กับ Study ต่างกันอย่างไร

Learn or Study?

 

สวัสดีอีกครั้งครับทุกท่าน ช่วงนี้ปลายฝนต้นหนาว เดี๋ยวฝนก็ตก รถก็คอยจะติด เดี๋ยวหนาวก็เริ่มจะมา น้ำก็ทำท่าจะท่วม แล้ว learn กับ study ต่างกันยังไงอีก?!? โอ้ย ปวดหัว!

ถึง ESE เราจะช่วยให้ทุกท่านหายปวดหัวเรื่องฝนตก รถติด อากาศหนาว หรือน้ำท่วมให้ทุกท่านไม่ได้ แต่เราสามารถช่วนให้ท่านหายปวดหัวกับคำภาษาอังกฤษคำว่า learn กับ study ได้นะครับ (ฮา)

ทั้งสองคำนี้นะครับ เป็นคำที่เชื่อว่าทุกคนคงจะได้ยินมาตั้งแต่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษใหม่ๆ และใช้กันมาเป็นเวลายาวนาน แต่กระนั้นก็ยังเผลองงบางครั้งเพราะทั้งสองคำแปลเป็นไทยว่า “เรียน” ทั้งคู่ แต่ว่าสองคำนี้อันที่จริงแล้วในภาษาอังกฤษ ไม่เหมือนกันนะครับ

“Study”

แปลว่าเรียน แต่แปลว่าเรียนในความหมาย “การใช้เวลาศึกษาหรือทำให้ได้มาซึ่งความรู้ทางวิชาการแขนงใดแขนงหนึ่ง โดยเฉพาะจากการอ่าน” ดังนั้น จึงเป็นไปในทางการเรียนในโรงเรียน การศึกษาทฤษฎีหรือความรู้เชิงวิชาการแขนงใดแขนงหนึ่ง

“Learn”

แปลว่าเรียน แต่แปลว่าเรียนในความหมาย “การทำให้ได้มาซึ่งความรู้หรือทักษะในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอาจจะจากการถูกสอนให้ทำ จากประสบการณ์ที่เคยทำ หรือจากการศึกษาเชิงวิชาการ (study) ก็ได้”

จากความต่างของความหมายดังนี้นะครับเวลาที่พูดถึงคำว่า study จึงให้ความหมายถึงการศึกษาเรื่องนั้นๆ

เช่น

                                I study English every day.

-          ฉันเรียนภาษาอังกฤษทุกวัน(ฉันศึกษาทฤษฎี/ความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษทุกวัน)

I’m studying how to swim.

-          ฉันกำลังเรียนวิธีการว่ายน้ำ(ฉันกำลังศึกษาทฤษฎี/ท่าต่างที่ใช้ในการว่ายน้ำจากหนังสือหรืออื่นๆ)

แต่ถ้าพูดถึงคำว่า learn จะให้ความหมายเช่นนี้

                เช่น

                                I learn English every day. 

-          ฉันเรียนภาษาอังกฤษทุกวัน(ฉันเรียนรู้การใช้ภาษาอังกฤษทุกวันจากการฝึกฝน จากการใช้จริงหรือจากการที่มีคนสอนใช้)

I’m learning how to swim.

-          ฉันกำลังเรียนรู้วิธีการว่ายน้ำ(ฉันกำลังเรียนรู้วิธีการว่ายน้ำ จากการว่ายจริง จากการฝึกฝน หรือจากการที่มีคนสอนวิธีให้)

ดังนั้นต่อไปเวลาที่จะพูดถึงคำว่าเรียนก็ต้องลองดูดีๆนะครับ ว่าเรากำลังจะสื่อความหมายใดกันแน่ หวังว่าทุกท่านจะเข้าใจและใช้สองคำนี้ได้อย่างเหมาะสมมากขึ้นนะครับ วันนี้ลาไปก่อน สวัสดีครับ

 

Read More ...

เราต้องแปลทุกอย่างจริงหรอ

Do we need to translate that? Maybe not!

 

สวัสดีครับ วันนี้พบกันอีกเช่นเคย ทว่าวันนี้ ผมจะพาทุกท่านมาพูดถึงประเด็นที่เป็นที่ถกเถียงกันพอสมควรสักหน่อย

“เราควรจะต้องแปลคำนี้ไหม” หรือ “คำนี้ในภาษาอังกฤษว่าอย่างไรดี” เป็นคำถามที่ผมพบเจอเป็นประจำเวลาสอน และเป็นคำถามที่นักเรียนหลายๆคนอยากจะถามผู้สอนอยู่ตลอดๆเวลาเจอ “คำ” ใหม่ๆ ในชีวิตประจำวันนะครับโดยเฉพาะบรรดา “ชื่อ” ต่างๆโดยเฉพาะอาหารเพื่อที่จะได้สื่อสารกับเพื่อนชาวต่างชาติได้อย่างเข้าใจตรงกัน

อันที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและขึ้นอยู่กับความคิดเห็นส่วนบุคคลสูง ผมเองก็เป็นเพียงบุคคลหนึ่งที่มีความเห็นต่อเรื่องๆหนึ่งไม่ต่างกับอีกหลายๆคน แม้จะเป็นความเห็นจากมืออาชีพ มืออาชีพเองก็มีความเห็นต่อเรื่องเดียวกันต่างๆกันไปอีกอยู่ดี ดังนั้นความเห็นของผมในเรื่องนี้ก็อย่าไปคิดว่าเป็นความเห็นที่ถูกต้อง 100% แต่ให้มองว่าเป็นความคิดเห็นชิ้นหนึ่งที่อาจจะมีประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อยนะครับ

ทุกๆท่านคงจะเคยได้ยินมาบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ เวลาที่เรียนภาษาอังกฤษว่าเมื่อพุดถึงคำนาม หากเป็นคำนามชนิดที่เรียกว่า Proper Nouns หรือ คำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ ว่าคำนามเหล่านั้นจัดอยู่ในหมวดของคำที่ “ไม่ต้องแปล” ในภาษาอังกฤษ และสามารถจำแนกได้ง่ายด้วยการที่คำๆนั้นขึ้นต้นด้วยตัวอักษรใหญ่เวลาเขียนในประโยคแม้จะไม่ได้วางไว้หน้าประโยคก็ตาม เช่น “Mr. Brown” ก็แปลเป็น “คุณบราวน์” โดยไม่เกี่ยวกับสีน้ำตาลใดๆทั้งสิ้น เพราะเหตุว่า “Brown” ในที่นี้ เป็นชื่อเฉพาะ ตัวอย่างอื่นๆที่เห็นชัดๆก็เช่นชื่อประเทศต่างๆ “America” “England” “Singapore” หรือชื่อเมืองเช่น “Bangkok” “Moscow” “Buenos Aires” เป็นต้น ที่ทุกๆท่านก็ทราบกันดี

นั่นคือหลักการแปลเบื้องต้นของภาษาอังกฤษที่เราเรียนกันมาตั้งแต่เด็กนะครับ ทีนี้วกกลับมาดูภาษาไทยของเราบ้าง หลายๆครั้ง ที่ผมเห็นนักเรียนหลายๆคนประสบปัญหาในการที่จะแปล “ชื่อ” กลับไปเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งโดยหลักแล้วปัญหาจะเกิดบ่อยครั้งกับ “ชื่ออาหารไทย” เช่นพยายามจะแปล “ผัดกะเพรา” ว่า “stir fried pork with basil” แปล “ส้มตำ” ว่า “papaya salad” หรือแม้กระทั่งโพสต์บนโซเชียลมีเดียที่มีการแปลชื่อของอาหารไทยมากมายหลายชนิดเป็นภาษาอังกฤษที่พบเห็นได้บ่อยๆ ผมไม่ได้ต่อต้านแนวความคิดที่จะแปลชื่ออาหารไทยเป็นภาษาอังกฤษนะครับ แต่เพียงแค่ว่าสำหรับผมแล้ว ผมมองว่ามันเป็นอะไรที่ “has no practical uses” หรือ ไม่มีประโยชน์ในด้านการใช้งานจริงต่างหากครับ

เพราะอะไรผมถึงกล่าวเช่นนั้น ก็เพราะว่าลักษณะการแปลดังกล่าว เมื่อแปลแล้วไม่ออกมาในลักษณะของคำที่กระชับ กินความครบถ้วนและสามารถนำไปใช้ได้จริง ทว่าเป็นการแปลในเชิง “ให้คำอธิบาย“ต่างหาก หมายถึงว่าคำแปลเช่น “stir fired pork with basil” นั้นเป็นการแปลในเชิงการอธิบายว่าในอาหารจานนี้มีอะไรบ้าง ก็ได้แก่ pork (หมู) และ basil (ใบกะเพรา) (แม้จะขาด garlic (กระเทียม) และ chili (พริก) ไปก็ตาม) และอาหารจานนั้นผ่านการปรุงมาแบบไหน คือการ stir fry (ผัด) หรือ papaya salad ว่าประกอบด้วย papaya (มะละกอ) เป็นหลัก และมีการเตียมอาหารแบบ salad (สลัด) แต่คำแปลดังกล่าวขาดความกระชับอย่างเห็นได้ชัดเจนในกรณีของผัดกะเพรา และไม่สามารถกินความครบถ้วนในกรณีของส้มตำเพราะคำว่า “salad” ให้ภาพของสลัดในแบบทั่วไปมากกว่าที่จะให้ภาพของส้มตำที่เราเข้าใจกัน ส่วนที่บอกว่าใช้งานไม่ได้จริงในชีวิตประจำวันก็เพราะว่าสมมติกรณีชาวต่างชาติคนหนึ่งเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย เกิดหิวขึ้นมาเดินเข้าร้านอาหารตามสั่งบอกกับพนักงานเสิร์ฟว่า “Stir fried pork with basil, please” พนักงานเสิร์ฟจะต้องงงอย่างแน่นอน และไม่แน่ว่าคนในร้านที่ได้ยินก็จะงงด้วย ว่าตาฝรั่งคนนี้เขาอยากกินอะไรกัน เพราะความไม่เข้าใจว่าที่ตาแกพูดมายาวๆนั้น หมายถึงอะไรกันแน่ จึงจะเห็นได้ว่า การแปลในลักษณะนี้ แม้จะทำให้ชาวต่างชาติ “เข้าใจ”อาหารจานนั้นๆมากขึ้น แต่ว่าในชีวิตประจำวันแล้ว แทบจะเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์อย่างนี้

จากเหตุผลดังนี้ครับ ที่ทำให้ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งเลยว่าการแปลในลักษณะนี้ไม่ได้ผล หมายถึงไม่ได้ผลที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติกับทั้งผู้พูด และผู้รับสาร ก็เพราะว่าผู้พุดและผู้ฟัง ไม่สามารถเข้าใจได้ตรงกันในเรื่องที่กำลังพูด ดังนั้นผมจึงคิดเห็นว่า ในการที่จะบอก หรือแนะนำอาหารไทย (หรืออาจจะสิ่งอื่นๆที่มีชื่อเฉพาะในภาษาไทยแต่ไม่สามารถหาคำเทียบคียงได้ในภาษาอังกฤษ) นั้น ควรจะใช้วิธีการ “ทับศัทพ์” ไปเลยจะดีกว่า เรียก “ผัดกะเพรา” ว่า Pad Kaproa เรียก “คะน้าหมูกรอบ” ว่า “Kana Moo Grob” เรียก “หมูกระเทียม” ว่า “Moo Gra Tium ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะชื่อของอาหารไทยของเรานั้นมีลักษณะเป็น Proper nouns คือเป็นชื่อเฉพาะอยู่แล้วที่ไม่ต้องแปล และการทับศัพท์ลักษณะนี้ก็เหมือนกับเวลาที่เราไม่ได้แปลคำว่า “Pizza” แต่ทับศัพท์ลงมาตรงๆว่า “พิซซา” “Hamburger” ว่า “แฮมเบอเกอร์” “Doughnut” ว่า “โดนัท” ไม่ใช่ “แป้งอบหน้าเนื้อและซอสมะเขือเทศ” “เนื้อบดย่างประกบขนมปัง” หรือ “ขนมแป้งวงทอดโรยน้ำตาล” แต่เราก็ยังสามารถนึกถึงอาหารนั้นๆได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และสามารถใช้สื่อสารกับชาวต่างชาติที่เป็นเจ้าของคำเรียกหรือชื่อเฉาพะเหล่านั้นได้อย่างเข้าใจ เมื่อทับศัพท์ให้ชาวต่างชาติรู้จักชื่อเรียกที่ถูกต้องอย่างนี้เรียบร้อยแล้ว จึงอธิบายว่าผัดกะเพราคืออะไร คะน้าหมูกรอบคืออะไร หมูกระเทียมคืออะไร โดยใช้คำแปลที่เป็นคำอธิบายแบบที่เราได้พูดถึงกันไปข้างต้นเพื่อให้ชาวต่างชาติคนนั้นเข้าใจ เท่านี้ ชาวต่างชาติคนนั้นก็จะได้รู้ชื่อที่แท้จริงของอาหารไทย สามารถที่จะเดินเข้าร้านอาหารตามสั่งที่ไหนก็ได้ แล้วสามารถสั่งมื้อเที่ยงของเขากินได้อย่างสบายใจ และใช้ชีวิตในเมืองไทยได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น และดึงดูดให้ชาวต่างชาติต่างๆอยากกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีกบ่อยๆก็เป็นได้ครับ

และนี่คือเหตุผลที่ผมคิดว่าเราไม่จำเป็นที่จะต้องแปลทุกคำที่เราใช้เป็นภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะบรรดาชื่อเฉพาะๆต่างๆโดยเฉพาะอาหารไทยครับ หวังว่าทุกท่านจะได้ประโยชน์ไปบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ สำหรับเกร็คความรู้ในวันนี้ และอย่างที่บอก ว่านี่เป็นเพียงความคิดเห็นของคนเพียงคนเดียว อาจจะถูกต้อง หรืออาจจะผิด ก็ต้องให้ท่านผู้อ่านทุกท่านใช้วิจารณญาณในการอ่านและตัดสินด้วยตนเองนะครับ สำหรับวันนี้ต้องลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ

Read More ...

เกร็ดความรู้


สวัสดครับนักเรียนภาษาอังกฤษทั้งหลาย  ไปลองฟังกันเลย ว่าสำนวนภาษาอังกฤษที่จะสอนวันนี้คืออะไร 
 
สำนวนที่จะสอนวันนี้นะครับคือสำนวนที่เอาไว้ใช้เวลาเราบอกว่า ทำสิ่งนี้แล้วมันได้ผล แล้วมันก็ใช้งานได้เลยภาษาอังกฤษนั่นเองนะครับ 
 
do the trick แปลว่า ได้ผล, สำเร็จ
I turned it off and back on, and that did the trick.
ฉันปิดแล้วก็เปิดมันใหม่ แล้วมันก็ใช้ได้เลย
 
หวังว่าทุกคนจะพยายามฝึกออกเสียงตามกันนะครับ 
แล้วพบกันใหม่ รอบหน้า สวัสดีครับ
อ่านเกร็ดความรู้ย้อนหลัง